เวลาไปกินข้าวตามร้านอาหารหรือซื้อสินค้าในที่ต่าง ๆ เคยสังเกตคำว่า VAT 7 % หรือภาษีมูลค่าเพิ่มที่แสดงอยู่บนบิลร้านอาหารหรือสินค้ากันหรือไม่ แล้วเคยสงสัยกันไหม่ว่าภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นคืออะไร ใครเป็นผู้เก็บและใครต้องเป็นคนจ่าย สำหรับร้านค้าและผู้ประกอบการจำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มการทางสรรพกรหรือไม่ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกัน
ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า VAT เป็นการเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ การผิตสินค้าและการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เช่นร้านค้า ร้านอาหาร หรือผลิตภัฑณ์ต่าง ๆ ซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการเรียกเก็บโดยกรรมสรรพกร โดยมีอัตราการเรียกเก็บอยู่ที่ 7 % การจด VAT หรือจดภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น กฎหมายได้กำหนดให้ร้านค้าและผู้ประกอบการที่มีการขายสินค้าหรือบริการ และมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องเป็นผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ใครเป็นคนต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม
แม้ว่าเจ้าของกิจการและร้านค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบที่ต้องยื่นจดทะเบียนภาษีมูคเพิ่ม แต่ในความจริงแล้วเจ้าภาษีตัวนี้ “ผู้บริโภค” หรือลูกค้าก็คือคนที่ต้องจ่ายนั้นเอง ซึ่งการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจะมาใน 2 รูปแบบเด่น ๆ ก็คือ 1. ด้านการซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ภาษีนี้จะถูกรวมมาในราคาสินค้าที่อยู่แล้ว โดยภาษีจะถูกแจกแจงมาในใบเสร็จรับเงินให้คุณทราบอีกครั้งโดยไม่มีการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากราคาสินค้าเดิม 2. ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการรับประทานอาหารตามร้านอาหาร ซึ่งจะไม่ถูกรวมอยู่ในราคาอาหาร แต่จะมีการเรียกเก็บเพิ่มเมื่อลูกค้าต้องชำระเงินค่า ซึ่งจะเขียนมาในใบเสร็จว่า VAT 7% นั่นเอง
สำหรับผู้ประกอบการที่เกิดความไม่แน่ใจว่าธุรกิจของตนนั้นต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ตรงนี้เรามีข้อมูลมาฝากสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องยื่นจดภาษีมูลค่าเพิ่มกับทางสรรพกร เป็นข้อมูลดี ๆ ให้ได้นำไปเตรียมตัวเตรียมเอกสารให้พร้อมสำหรับยื่นจดด้วยตัวเองได้เลย
ธุรกิจแบบไหนต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาท ต้องยื่นขอจกทะเบียนภายใน 30 วันนับต้องแต่วันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท
- ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือบริการ ที่มีแผนงานที่ต้องมีการซื้อสินค้าหรือบริฏารที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้างโรงงาน ก่อสร้างสำนักงาน หรือการติดตั้งเครื่องจักร ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภายในกำหนด 6 เดือนก่อนวันเริ่มประกอบกิจการ
- ผู้ประกอบการนอกประเทศไทยที่ได้ขายสินค้าหรือบริการภายในประเทศไทยเป็นปกติ ซึ่งต้องให้ตัวแทนเป็นผู้รับผิดชอบในการจดทะเบียน
ธุรกิจที่ไม่ต้องจกภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่สามารถยื่นขอจดได้
- ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าพืชผลทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ หนังสือพิมพ์ นิตยาสาร หรือตำราเรียน
- ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือบริการ ซึ่งไม่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- การให้บริการขนส่งภายในประเทศโดยท่าอากาศยาน
- การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
- การให้บริการขนส่งนำ้มันเชื้อเพลิงทางท่อในราชอาณาจักรไทย
ธุรกิจที่ไม่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับการยดเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
- ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศและได้มีการใช้บริการ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
- ผู้ประกอบการที่อยู่นอกประเทศไทยและเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในประเทศเป็นครั้งคราว ซึ่งต้องอยู่ในเงื่อนไขและข้อกำหนดในประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลเพิ่ม (ฉบับที่ 43 ) ฯ ลงวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2536
- ผู้ประกอบการอื่นตามที่อธิบดีจะประกาศกำหนดเมื่อมีเหตุอันสมควร
วิธีการจดภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถทำได้อย่างไร
เอกสารที่จำเป็นสำหรับจดภาษีมูลค่าเพิ่ม
- แบบคำร้องขอจะทะเบียน ภ.พ.01 จำนวน 3 ฉบับ และ ภ.พ.01.0 จำนวน 3 ฉบับ
- เอกสารที่ตั้งประกอบการ ได้แก่
- สัญญาเช่าอาคารที่ตั้งสถานประกอบการ
- สำเนาทะเบียนบ้านสถานประกอบการ
- สำเนาแสดงกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่า
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ให้เช่า
- แผนที่ของสถานประกอบการและภาพถ่าย
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประกอบการ
- สามารถดูข้อมูลเอกสารเพิ่มเติมได้ที่ เอกสารที่จำเป็นสำหรับจดภาษีมูลค่าเพิ่ม
สถานที่ยื่นจดภาษีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับเจ้าของกิจการและผู้ประกอบการที่ต้องการยื่นจดภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถทำได้ผ่าน 2 ช่องทางง่าย ๆ ดังนี้
- ยื่นคำขอจดภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์กรรมสรรพกร www.rd.go.th
- ยื่นคำขอจดภาษีมูลค่าด้วยเอกสาร ด้วยตนเองที่หน่วยจดทะเบียนที่ตั้งสถานประกอบการ ซึ่งสามารถแบ่งตามพื้นที่ได้ ดังนี้
- สถานประกอบการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพ สามารถยื่นได้ที่ สำนักงานสรรพกรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
- สถานประกอบการที่ต้องอยู่นอกพื้นที่กรุงเทพฯ สามารถยื่นได้ที่ สามารถยื่นได้ที่ สำนักงานสรรพกรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
- สถานประกอบการที่มีหลานสาขา สามารถยื่นได้ที่ สำนักงานสรรพกรในพื้นที่ที่สถานประกอบการหลักตั้งอยู่
- สถานประกอบการที่อยู่ในการควบคุมของสำนักบริหารธุรกิจขนาดใหญ่ สามารถยื่นได้ที่ สำนักงานบริการธุรกิจขนาดใหญ่หรือยื่นผ่านสำนักงานสรรพกรในพื้นที่
สรุปได้ว่าภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่สรรพการจะเรียกเก็บจากการขายสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการ โดยผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี จะต้องยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับทางสรรพกร แต่ความจริงแล้วผู้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มก็คือผู้บริโภคนั่นเอง ซึ่งการยื่นจดภาษีมูลค่าเพิ่ม ยังไม่สามารถทำผ่านทาง Fillgoods ได้ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นได้ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ของกรมสรรพกรได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : ความรู้เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม