เจาะลึกวิธีลง AD โฆษณา แก้ปัญหา Ads แพงเกินไป

ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี ข้าวของมีราคาแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลกระทบถึงการบริหารเรื่องงบประมาณในการทำโฆษณาบน Facebook สำหรับทุกๆ ธุรกิจ ทำให้แนวทางในการจัดการงบโฆษณาที่เราวางไว้ในแต่ละเดือนในการจ่ายให้กับ Facebook เพื่อกระตุ้นยอดขายไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าโฆษณาที่แพงเกินไปได้

นอกจากปัญหาค่าโฆษณาที่แพงเกินควรแล้ว อีกปัญหาหนึ่งสำหรับผู้คนที่ขายของใน Facebook หรือใช้ Facebook เป็นช่องทางโฆษณาสินค้าอยู่แล้ว อาจจะเจอปัญหาว่าเสียค่าโฆษณาแพงขึ้นแต่ได้ยอดขายเท่าเดิมหรือน้อยลง ในบทความนี้เรานำเสนอเทคนิคและวิธีการที่ช่วยลดค่าโฆษณาให้ถูกลง ประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แต่ยังคงได้ยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลที่รวบรวมมาในบทความนี้ก็เพื่อให้ผู้ลงโฆษณาเข้าใจระบบและมีแนวคิดในการลงโฆษณาในเฟสบุ๊คที่ถูกต้อง เทคนิคและวิธีการดังกล่าวมีอะไรบ้างมาดูกัน

เข้าใจกฎการควบคุมค่าโฆษณา จากฟังชั่นก์ Facebook Automated Rules

Facebook Automated Rules คือเครื่องมือที่ Facebook มีไว้เพื่อจัดการการยิงแอด โดยเราสามารถตั้งเงื่อนไขขึ้นมาเพื่อให้ Facebook ทำงานอัตโนมัติกับโฆษณานั้นตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ เมื่อโฆษณาเป็นไปตาม Rules ที่ตั้งไว้ ระบบจะทำ Automated ให้เองตามคำสั่งที่ตั้งไว้ โดยวิธียิงแอดแบบนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานควบคุมโฆษณาได้ง่ายยิ่งขึ้น ตั้งค่าได้กับทุก Campaign, Ad Sets ตลอดจน Ads ธรรมดา โดยมีเงื่อนไขให้เลือกใช้งานตามความต้องการของเรา

วิธีการตั้งค่าเงื่อนไขให้กับกฎอัตโนมัติ Facebook Automated Rules

  1. Apply Rule To : เลือกบังคับใช้กฎนี้กับ Campaign, Ad sets หรือ Ads
  2. Action : ต้องการให้ Facebook ทำอย่างไรเมื่อ Ads เป็นไปตามเงื่อนไข
  3. Conditions : เงื่อนไขการทำงาน เช่น Cost Per Result, Cost Per Conversions, Audience reach  เป็นต้น
  4. Schedule : ตั้งเวลาเช็ค Ads ตามเงื่อนไข
  5. Notification : การแจ้งเตือนให้เมื่อกฎนี้ทำงาน
  6. Subscriber : ผู้ที่สร้างกฎและมีสิทธิ์แก้ไขกฎนี้
  7. Rule Name : ตั้งชื่อให้กับกฎ

อ่านเพิ่มเติม : ทำอย่างไรให้ค่าโฆษณา Ads ถูก , 5 วิธียิง Ads สำหรับร้านค้ามือใหม่ , ยิง Ads อย่างไรให้มียอดขาย , เทคนิคกลุ่มเป้าหมาย FB

ทคนิคและวิธีการที่ช่วยลดค่าโฆษณาให้ถูกลง

1. การใช้ Facebook Rule ที่เราได้แนะนำไปในข้างต้นเป็นการทำโฆษณาแบบคลิกเข้าเว็บไซต์ โดยเราจำเป็นที่จะต้องกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเจนคือ ถ้าเมื่อไรก็ตามที่ค่าคลิกต่ำกว่า 5 บาท ให้ทำการเพิ่มงบทันที 20% ตัวอย่างเช่น ปกติเรารันโฆษณาวันละ 500 บาท ถ้าผลลัพธ์ออกมาเป็นไปตามเงื่อนไข ให้ปรับงบเพิ่มอีก 20%  คำนวนแบบนี้คือ  500 + (500×20%) = 600 บาท ทันที แต่จะจำกัดไว้ไม่เกิน 1,000 บาท จะช่วยควบคุมงบประมาณในการจ่ายค่าโฆษณาของเรา โดยไม่ทำให้ขาดทุนในธุรกิจ

2. ในเรื่องของการใช้ Facebook Rule โดยปกติแล้วจากสถิติ เมื่อบัญชีผู้ใช้เดิมได้เห็นเนื้อหาที่เคยได้เห็นไปแล้วซ้ำๆ ผลลัพธ์ในการทำโฆษณาจะดร็อปลง ดังนั้นเราควรป้องกันคนเห็นโฆษณาซ้ำๆ กล่าวคือถ้าคนเริ่มเห็นโฆษณาเฉลี่ยเกิน 1.5 ครั้ง ให้ทำการปิดโฆษณาทันทีโดยการสร้างกฎขึ้นมา ตามวิธีการที่ได้แนะนำไปข้างต้น

3. โฆษณาตัวไหนดี เราควรเพิ่มงบ ส่วนโฆษณาตัวไหน แพงเกินไป ถึงยิงแล้วลูกค้าเข้าก็ไม่คุ้ม เราควรปิด แล้วปรับปรุงใหม่

4. ความสำคัญหนึ่งของ Facebook Rule ก็คือเครื่องมือตัวนี้ ยกตัวอย่างเช่น เช่น หากเราขายของราคากำไรชิ้นละ 200 บาท ค่าโฆษณาของเรามีต้นทุนต่อการที่ลูกค้า 1 คนทักมา 50 บาท อัตราการปิดการขายเฉลี่ย 20% คือ เข้ามา 5 คน ปิดได้ 1 คน หมายความว่าเราต้องใช้ค่าโฆษณา 250 บาท เพื่อให้ได้กำไร 200 บาท ซึ่งยิงโฆษณานั้นไม่รวมค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นก็ทำให้เราขาดทุนได้แล้ว ดังนั้นเราควรมีการทบทวนการธุรกิจของเราว่าควรทำต่อไปหรือไม่ ค่าเฉลี่ยของกำไรต่อออเดอร์ของเรานั้นอยู่ที่เท่าไรและมีอัตราการปิดการขายเฉลี่ยเท่าไรนำมาซึ่งคำตอบว่าเราสามารถยอมรับต้นทุนต่อการมีลูกค้าทักมา 1 คนที่เท่าไร นั้นเอง

5. หลีกเลี่ยงการลงโฆษณาชิ้นเดิมต่อเนื่องยาวนานจนเกินไป การปล่อยโฆษณาชิ้นเดิมต่อเนื่องยาวนานเกินไป จะส่งผลให้คนที่เห็นโฆษณานั้นซ้ำหลายๆ ครั้ง มีผลให้ไม่รู้สึกสะดุดตา หรือให้ความสนใจกับโฆษณาชิ้นนั้น แต่ทุกครั้งที่เห็นโฆษณา เราในฐานะผู้ลงโฆษณาได้เสียเงินเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากโฆษณาชิ้นนั้นเริ่มมีคนเห็นซ้ำบ่อยมากแล้วก็ควรจะหยุดโฆษณา แล้วทำการสร้างโฆษณาชิ้นใหม่ หรือใช้โฆษณาเดิมแต่เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายใหม่ ในการพิจารณาว่าโฆษณานั้นมีคนเห็นซ้ำมากจนไม่เป็นที่น่าสนใจแล้ว ให้ดูจากตัวแปรสองตัวที่อยู่ในหน้ารายงานสถิติ ในกรณีนี้ผมยอมรับที่ 10 บาท ถ้าต้นทุนต่อลูกค้าทักมา  1 คนเกิน 10 บาท ให้ปิดชุดโฆษณาทิ้งไปซะ ไปทำเนื้อหาใหม่ดีกว่า

6. สร้าง Facebook Profile เพิ่ม เพื่อนำมาใช้ในการช่วยกันแชร์ เป็นการแบ่งงบจาก Facebook Ads มาสร้างอีเมล์ เบอร์โทรศัพท์ เปิดบัญชี Facebook ใหม่เพิ่มสัก 10 บัญชี ซึ่งแต่ละบัญชีสามารถมีเพื่อนสูงสุดบัญชีละ 5,000 คน หมายความว่าหากเราโพสต์นำเสนอ คอนเทนต์ในรูปแบบใด ๆ ก็ตามโอกาส เท่ากับทำให้คนที่เป็นเพื่อนเราเห็นถึง 50,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งด้วยวิธีการที่ทาง Facebook ปรับอัลกอริทึ่มนั้นก็มุ่งเน้นให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน การทำธุรกิจบน Profile จึงควรหันกลับมาให้ความสำคัญแต่ทั้งนี้ เราจะต้องไม่การยัดเยียดการขายสินค้าของเราต่อเพื่อนใน Facebook มากจนเกินไปเพื่อจะทำให้เขาเบื่อและลบเพื่อนไปในที่สุดนั้นเอง